8/09/2554

'เอามาตำ' ร้านส้มตำไฮโซ เสิร์ฟส่วนผสมโชว์ฝีมือตำเอง

| 0 ความคิดเห็น
 



ส้มตำ อาหารจานโปรดของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนสามารถหากินได้ทุกที่ ตั้งแต่ร้านรถเข็นริมทางข้างถนนไปจนถึงร้านหรูหราอย่างโรงแรมและภัตตาคาร สำหรับร้านเอามาตำพยายามสร้างจุดขายด้วยการให้ลูกค้าได้แสดงฝีมือการตำด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้รสชาติอย่างที่ต้องการ



นายวิทูร ตันติอนุนานนท์ เจ้าของร้าน เล่าถึงที่มาของร้านเอามาตำ (Al Matum) ว่า เกิดขึ้นมาจาก ความต้องการที่อยากทำร้านส้มตำ และอาหารอีสาน ซึ่งเป็นเมนูที่รู้จักกันดีและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว มาไว้ในสถานที่ที่บรรยากาศดี นั่งสบาย เพื่อที่ลูกค้าจะได้เพลิดเพลินไปกับการกินอาหารในมื้อพิเศษ

[caption id="attachment_1802" align="aligncenter" width="442" caption="เจ้าของร้าน"][/caption]

ด้วยเมนูพิเศษ คือ ส้มตำที่ให้ลูกค้าสามารถที่จะแสดงฝีมือการตำส้มตำตามแบบที่ตัวเองชอบ โดยทางร้านจะเสิร์ฟส่วนผสมของส้มตำ พร้อมเตรียมอุปกรณ์ในการตำ และเครื่องปรุงรสที่พ่อครัวแม่ครัวผสมมาให้เสร็จ เพื่อให้ได้รสชาติส้มตำอย่างที่ทางร้านได้คิดค้นขึ้น เพียงแค่เติมน้ำปรุงลงไปตามใช้ชอบ ซึ่งทุกคนก็จะชอบรสชาติที่เข้มข้นจัดจ้านแตกต่างกันออกไป



นอกจากเมนูเด่นอย่างส้มตำที่ลูกค้าสามารถแสดงฝีมือการตำเองแล้ว ยังมีเมนูอื่นๆ ที่เหมือนกับร้านส้มตำทั่วไป แบ่งเป็นหมวดตำ ได้แก่ ตำไทย ตำข้าวโพดทอด ตำหมูยอ ฯลฯ หมวดของของย่าง เช่นคอหมูย่าง ไก่ย่าง เนื้อโพนยางคำย่าง ฯลฯ ลาบ น้ำตก ลาบหมูทอด น้ำตกเนื้อโพนยางคำ ฯลฯ ของกินเล่น ไส้กรอกอีสาน ยำแหนม ข้าวโพดทอด ฯลฯ ทางร้านมีเมนูให้ลูกค้าเลือกกว่า 20 เมนู ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50 บาท ไปจนถึง 120 บาท



สำหรับสูตรส้มตำของทางร้าน เริ่มมาจากหุ้นส่วนหลายๆคนที่มีความชอบส่วนตัวต่างกันในหลายๆรสชาติ ได้มีการไปลองชิมส้มตำจากหลายร้านและนำมาปรับทดลองชิมจนกลายเป็นสูตรส้มตำที่ลงตัวจนถึงทุกวันนี้ เมนูยอดนิยมของทางร้าน ได้แก่ เอามาตำ ส้มตำข้าวโพดทอด เนื้อโพนยางคำย่าง ลาบหมูทอด ต้มไก่ใบมะขาม เกี๋ยวปลามหาชัย หมูกรุบ



อย่างไรก็ตาม ลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านเอามาตำจะนิยม เมนูส้มตำที่ตำด้วยตัวเองมากกว่า ให้ทางร้านตำให้ เพราะได้ทั้งความสนุกและสามารถปรับรสชาติตามความต้องการของตัวลูกค้าเองได้ โดยรสชาติที่ได้จะแตกต่างกันไม่มาก เพราะทางร้านเราจะเตรียม น้ำส้มตำสูตรของทางร้านให้กับลูกค้า เพียงแค่ลูกค้าสามารถเลือกที่จะเพิ่มรสชาติ เปรี้ยว เผ็ด หวาน ได้ตามความชอบ



สำหรับรูปแบบของร้านเอามาตำ ได้ออกแบบให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการตามความชอบใน 2 ลักษณะ คือ บรรยากาศภายนอกอาคาร ซึ่งเป็นสนามหญ้า และใช้โต๊ะ เก้าอี้ที่ทำด้วยไม้ไผ่ ช่วยให้เราได้สัมผัสกลิ่นไอความเป็นธรรมชาติในแบบชนบทเข้ากันได้ดีกับแนวอาหารอย่างส้มตำ ไก่ย่าง หรือ สำหรับคนที่ชอบนั่งสบายในห้องปรับอากาศ ทางเราได้จัดพื้นที่นั่ง ภายในร้านไว้ บริการ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าลูกค้าจะนั่งบริเวณไหนของร้าน ทางเราพยายามที่จะให้ลูกค้าได้นั่งในบรรยากาศสบายๆ เพื่อที่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านเราจะต้องรู้สึกสนุกไปกับการกินอาหาร

โดยเลือกเปิดร้านในแหล่งใจกลางเมืองย่านธุรกิจ อย่างเอกมัย ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งผู้อยู่อาศัย ค่อนข้างมีกำลังซื้อ และเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ชอบกินอาหารนอกบ้าน และเอกมัยเป็นย่านที่ลูกค้าสามารถเดินทางได้สะดวก เพราะมีระบบรถไฟฟ้า แต่ยังคงมีความเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย เพราะทำเลที่ตั้งของร้านอยู่ในซอยเอกมัย 12

สำหรับกลุ่มลูกค้าของทางร้านจะมีหลากหลายตั้งแต่ลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว และกลุ่มลูกค้าที่มาปาร์ตี้สังสรรค์ หรือนัดพบปะกัน ทั้ง คนทำงาน และนักศึกษา เนื่องด้วยพื้นที่บริเวณสนามหญ้าค่อนข้างกว้าง ทำให้สามารถรับลูกค้าได้จำนวนมาก

นายวิทูร เล่าว่า ตนเองและเพื่อน ได้ร่วมกันทำร้านส้มตำแห่งนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่าส้มตำเป็นอาหารจานโปรด ที่ใครหลายๆ คนชอบ แต่ที่ผ่านมา ปัญหาคือ ไม่ได้บรรยากาศสบาย เพราะต้องไปนั่งกินกันอยู่ข้างถนน ซึ่งมีทั้งควัน และฝุ่น เต็มไปหมด ที่สำคัญไม่สามารถนั่งนานได้ เราจึงถือโอกาสนี้เปิดร้านดังกล่าวขึ้น โดยเปิดมาได้ประมาณปีกว่าและ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี



ส่วนช่องทางการขาย ทางเรามีการทำการตลาดผ่าน Social Media เช่น Facebook, Foursquare และลูกค้าบางส่วนมาจากการบอกกันแบบปากต่อปาก และการได้ประชาสัมพันธ์ร้านผ่านสื่อๆต่าง ที่เห็นว่า แนวคิดในการทำร้านของเรามีความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร จุดขายที่ทำให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการเป็นจุดแรกก่อนที่ตัดสินใจเรื่องราคา



ในส่วนของการขยายสาขา ตอนนี้ทางร้านยังไม่ได้คิดถึงการเพิ่มสาขาเนื่องจากทางร้านคำนึงถึงการบริการมาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งทางหุ้นส่วนร้านจะคอยเข้าไปคุยเล่นกับทางลูกค้าที่มานั่งที่ร้านเองเลย จึงทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นกันเองเวลามากินที่ร้าน ทางเราจึงอยากที่จะควบคุมมาตรฐานการบริการให้ดีที่สุดก่อน

 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น