4/30/2555

'ดิโอโร่' สยายปีกแฟรนไชส์ ปักธง ขายวันละ 100 แก้ว ร้านฉลุย

นับเป็นเวลากว่า 12 ปีมาแล้วที่ “ดิโอโร่” (D’ Oro) ดำเนินธุรกิจกาแฟครบวงจร ตั้งแต่ปลูก คั่ว ขายเมล็ดกาแฟ จนถึงเปิดร้านของตัวเอง โดยในปีนี้ (2555) ได้ขยายธุรกิจเพิ่มเติมด้วยการขายแฟรนไชส์ร้านกาแฟ ลงทุน 1- 2.5 ล้านบาท กำหนดเป้า ขายอย่างต่ำ 100 แก้วต่อวัน ธุรกิจอยู่รอด


นริศ ศรีอุเทนชัย นริศ ศรีอุเทนชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วีพีพี โปรเกรสชิฟ จำกัด เผยว่า ปัจจุบัน ร้านดิโอโร่มีสาขารวม 75 แห่ง เปิดโดยบริษัทเอง 73 แห่ง และร้านแฟรนไชส์ต้นแบบ 2 แห่ง ที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาระบบแฟรนไชส์มาอย่างต่อเนื่อง จนปีนี้ มีความพร้อมที่จะเปิดรับผู้



โดยวิธีควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์ที่พัฒนาขึ้น ได้นำระบบไอทีมาตรวจสอบและดูแลทุกๆ ด้านผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะออนไลน์ตลอดเวลา เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแฟรนไชซอร์ และแฟรนไชส์ซีไว้ด้วยกัน ทั้งการสั่งวัตถุดิบ สต็อกสินค้า ยอดขาย ประวัติสมาชิก ฯลฯ ช่วยให้ทุกสาขามี



ผู้บริหารแฟรนไชส์ดิโอโร่ ระบุว่า หัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจร้านกาแฟ คือ “ทำเล” ต้องอยู่ในย่านชุมชน สะดวกสบายเรื่องที่จอดรถ โดยเบื้องต้นผู้ลงทุนต้องหาทำเลมานำเสนอ จากนั้น บริษัทจะมีทีมสำรวจความเป็นไปได้ หากผ่านจะเข้าขั้นตอนทำสัญญาร่วมกัน



ด้านรูปแบบแฟรนไชส์เจาะจงต้องเปิดเป็นรูปแบบ “ร้าน” เท่านั้น พื้นที่ตั้งแต่ 16 - 100 ตารางเมตร โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1-2.5 ล้านบาท (แล้วแต่ขนาดร้าน) แบ่งเป็นค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 3.5 แสนบาท อายุสัญญา 5 ปี นอกจากนั้น เป็นค่าตกแต่งร้าน ระบบไอที และค่าอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น หลังเปิดร้านมีการเรียกเก็บค่าสิทธิ (Royalty) 4% ของยอดขาย/เดือน และค่าการตลาด 2% ของยอดขาย/เดือน



“หลักในการคัดกรองผู้มาร่วมธุรกิจกับเรา ต้องมีความพร้อมทั้งเรื่องทำเล เงินทุน และสิ่งสำคัญจะดูที่ “ทัศนคติ” ของเขาก่อน ถ้าเป็นคนที่เข้ามา แล้วตำหนิว่า ทำไมแฟรนไชส์แพงจัง? หรือไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องจ่ายค่าการตลาด? ทำไมต้องหักส่วนแบ่งยอดขาย? หรือคิดแต่จะได้กำไรเป็นอันดับแรก คนกลุ่มนี้ไม่น่าจะใช่ผู้จะมาร่วมธุรกิจกับเราได้ แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าใจในระบบแฟรนไชส์ที่ถูกต้อง เขาจะเข้าใจว่า เงินที่หักไปจะถูกนำไปให้คุ้มค่าได้อย่างไร ซึ่งเราจะทำตั้งแต่ศึกษาความเป็นไปได้ การต่อยอดจัดโปรโมชั่นต่างๆ ส่งเสริมการตลาด รวมถึง จัดอบรมพัฒนาผู้บริหารร้านแฟรนไชส์ ซึ่งวิธีการนี้ จะทำให้แฟรนไชส์ของดิโอโร่มีความแข็งแรงมั่นคง เพราะเราคิดถึงการเป็นคู่ค้ากันในระยะยาว ดังนั้น ทัศนคติของผู้ที่จะร่วม



นอกจากนั้น กำหนดให้แฟรนไชส์ซีต้องรับวัตถุดิบหลัก เช่น กาแฟ ชา โกโก้ ไซรัป แก้วกาแฟ และเบเกอรี่จากบริษัท หรือร้านค้าที่บริษัทอนุมัติเท่านั้น โดยกำไรที่ผู้ลงทุนจะได้รับ หักเฉพาะค่าวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% ของยอดขาย ส่วนกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ประมาณ 15-35% ของยอดขาย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนของแต่ละสาขา ซึ่งจากผลกำไรดังกล่าว หากขายได้วันละประมาณ 100 แก้ว แฟรนไชส์ซีจะคืนเงินลงทุนในได้เวลา 2-2.5 ปี ซึ่งจากค่าเฉลี่ยของร้านดิโอโร่ที่ผ่านมา แทบทุกสาขามียอดขายเกิน 100 แก้วต่อวัน ในขณะที่อัตราล้มเหลวของสาขาที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 10% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาที่ประสบความสำเร็จ



“ผมคงไม่สามารถการันตีได้ว่า ทุกสาขาแฟรนไชส์ที่จะมาร่วมลงทุนกับเราจะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ นำข้อมูลจริงมานำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของผู้ลงทุน ซึ่งจากการเปิดสาขาด้วยตัวบริษัทเอง ค่าเฉลี่ยสาขาของเราทุกแห่ง สามารถขายได้วันละ 100 แก้ว ดังนั้น สำหรับผู้มาเป็นแฟรนไชส์ถ้าทำในมาตรฐานและรูปแบบเดียวกันของร้านดิโอโร่ โอกาสที่ร้านจะประสบความสำเร็จจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ส่วนร้านที่เราเปิดแล้วล้มเหลว ก็มีเช่นกันแต่อยู่ในสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากทำเลไม่เหมาะสม ฉะนั้น ผมจึงย้ำว่า สำหรับผู้มาลงทุนแฟรนไชส์ ควรต้องมีทำเลที่เหมาะสม ซึ่งเราจะทำการสำรวจร่วมกัน เพื่อให้ได้ทำเลที่เหมาะสมจริงๆ” ผู้บริหารดิโอโร่ กล่าว



นริศ เผยด้วยว่า ความน่าสนใจต่อการลงทุนแฟรนไชส์ดิโอโร่ มาจากแบรนด์ที่คนทั่วไปรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว ในฐานะกาแฟของไทยที่มีรสชาติและคุณภาพไม่เป็นรองต่างชาติ อีกทั้ง ราคาไม่สูงเกินไป นอกจากนั้น ดิโอโร่มีจำนวนลูกค้าสมัครเป็นสมาชิกกว่าแสนราย ซึ่งคนกลุ่มนี้ชื่นชอบและดื่มกาแฟดิโอโร่เป็นประจำอยู่แล้ว จึงเป็นประโยชน์แก่แฟรนไชส์ซีที่มีฐานลูกค้าเบื้องต้นค่อนข้างแน่นอน รวมถึง ข้อมูลสมาชิกเหล่านี้ ยังสามารถนำไปต่อยอดจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดได้ต่อเนื่อง



สำหรับเป้าในการขยายแฟรนไชส์ในปีนี้ กำหนดไว้ที่ 20-25 สาขา กระจายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ควบคู่กับขยายด้วยบริษัทเองในอัตราใกล้เคียงกัน และตั้งเป้าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีร้านแฟรนไชส์ดิโอโร่กระจายอยู่กว่า 100 สาขาทั่วประเทศ “ทุกวันนี้ มีธุรกิจร้านกาแฟ เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก แต่ตลาดของกาแฟสดยังเติบโตไปได้อีกมาก มูลค่าตลาดต่อปีกว่าหมื่นล้านบาท และมีอัตราโตขึ้น 10-20% ทุกๆ ปี เพราะคนรุ่นใหม่ นิยมดื่มกาแฟสดกันมาก รวมถึง ทุกวันนี้ การดื่มกาแฟสดกลายเป็นอีกกิจวัตรของคนไทยไปแล้ว ดังนั้น ผมมั่นใจว่า ตลาดกาแฟสดยังไม่เต็ม แม้จะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่ในที่สุดแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นผู้คัดกรองคุณภาพเองว่า ผู้ผลิตเจ้าใดจะอยู่รอดได้บ้าง” นริศ




แหล่งที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์

4/26/2555

รวยด้วย Alibaba กับ ธรุกิจซื้อมาขายไป

ถ้าจะพูดถึงการเริ่มต้นทำธุรกิจหรือกิจการ ดูเหมือนว่าการซื้อมาขายไป เป็นธุรกิจที่มีความนิยมมากที่สุด ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่มีความนิยมกันทั่วโลกเลยทีเดียว อาจจะมาจากเหตุที่มันง่ายสามารถเริ่มได้ทันที มีความเสี่ยงน้อยหรือแทบไม่มีเลย แต่สิ่งนึงที่หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ก็คือ สัดส่วนของกำไรที่น้อยมาก สาเหตุก็คงจะมาจากต้นทุนที่สูง แถมยังมีคู่แข่งเยอะทำให้เกิดการลดราคาเพื่อแข่งขัน หรือไม่ก็ผู้ผลิตลงมาแข่งขันซะเอง

แล้วจะหาสินค้าที่ไหนหล่ะถึงจะทำกำไรได้? สินค้าจีนเป็นสินค้าที่อยู่คู่สังคมไทยมานานมาก และถูกพูดถึงในแง่ลบอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องคุณภาพ เพราะสินค้าที่มาจากเมืองจีนส่วนใหญ่คุณภาพต่ำ แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว จะเห็นได้จากบริษัทใหญ่ๆ แบรนด์ดังๆ ก็ย้ายฐานการผลิตมาที่นี่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น iPhone และ  Xbox ของ Microsoft ก็ Made in China ทั้งนั้น แล้วเราจะหาสินค้าจีนได้จากไหนหลล่ะ?

วันนี้ผมอยากจะแนะนำเว็บไซต์ Alibaba.com ซึ่งเป็นแหล่งที่เราสามารถหาสินค้า เพื่อซื้อแล้วก็นำมาขายต่อ หรือจะนำสินค้าเราไปวางขายก็ย่อมได้ และวิดีโอด้านล่างเป็นการใช้งานเบื้องต้นของเว็บไซต์ Alibaba.com

พอจะเห็นแนวทางการสร้างรายได้จากสินค้าจินกันแล้วนะครับ ครั้งหน้าเราจะพูดถึงกระบวนการสร้างรายได้ของ SME ไทยผ่านเว็บไซต์ alibaba.com กันนะครับ

[youtube http://www.youtube.com/watch?v=FSx-HBA0QEw&version=3&hl=th_TH]


ไม่สามารถรับชมได้ ดูที่ YouTube.com Click!


บทความโดย คุณไพร บุญนอก จากเว็บไซต์ ThaiRiches.com

4/05/2555

ผลกระทบปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท

จากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่องที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดผลกระทบตามมาหลายอย่างทั้งในตัวแรงงานเอง ที่ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องถูกปรับลดค่าโอที และสวัสดิการลง โดยที่ผู้ประกอบการใช้เป็นข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ขณะที่มีนำไปเพิ่มราคาสินค้าขึ้นตามไปด้วย

ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างวันละ 300 บาท ซึ่งเป็นการปรับแบบก้าวกระโดดถึงร้อยละ 40 ทำให้โรงงานต่างๆ อยู่ระหว่างการพิจารณา ปรับลดสวัสดิการที่เคยให้แก่ลูกจ้าง เพื่อลดต้นทุนที่ปรับตัวสูง ขณะเดียวกันการปรับค่าจ้างในปีนี้ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยเฉพาะการเรียกร้อง ขอขึ้นค่าจ้างสำหรับ กลุ่มลูกจ้างที่อยู่มานาน เพื่อให้ค่าจ้างห่างจากแรงงานใหม่ รวมถึงค่าโอที สวัสดิการ และโบนัส

นอกจากนี้ หลังจากปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 มกราคม 2556 แล้ว อาจมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะกระทบการจ้างงานในท้องถิ่นโดยตรง เพราะผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ จะย้ายฐานผลิตมาอยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง

นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังกระทบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีการจ้างแรงงานตั้งแต่ 1-25 คน มีอยู่ร้อยละ 98 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยนายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่ามีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่าร้อยละ 60 ที่ไม่อยู่ในระบบมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ที่จะมีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในปีนี้ และเหลือร้อยละ 20 ในปีหน้าหรือปี 2556 ทำให้เอสเอ็มอีร้อยละ 5.6 หรือ ประมาณ 100,000 ราย ทั่วประเทศอาจต้องปิดกิจการ เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้

ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศอาจลดลงร้อยละ 25 หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับสำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจน เช่นธุรกิจดูแลรักษาความปลอดภัย และธุรกิจก่อสร้าง เพราะมีการทำสัญญากับผู้ว่าจ้าง โดยคำนวณค่าแรงงาน ค่าบริการจัดการไว้เรียบร้อย แต่เมื่อปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ก็ไม่สามารถแก้ไขสัญญาการว่าจ้างได้ จึงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่สามารถผลักภาระไปให้ผู้ว่าจ้างได้

ขณะเดียวกัน การปรับขึ้นค่าจ้างยังส่งผลกระทบ ต่อนักลงทุนเอสเอ็มอีต่างประเทศที่อยู่ในไทย ซึ่งอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วน ไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม และพม่า ซึ่งมีโครงสร้างค่าจ้าง ที่ต่ำกว่าไทยมาก

รวมถึงยังพบว่า มีหลายบริษัทที่มีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีการฝึกอบรมแรงงาน เนื่องจากมีการให้ค่าจ้างในกลุ่มฝีมือแรงงานเฉลี่ยเดือนละ 4,000-5,000 บาท ต่างจากเมืองไทยที่กลุ่มฝีมือแรงงานเฉลี่ยที่ 400-700 บาทต่อวัน ทำให้อนาคตแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอาจเข้ามาทำงานในไทยน้อยลง

ด้านธุรกิจโรงแรม อาจต้องลดจำนวนแรงงาน เพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งจะเห็นผลกระทบชัดเจน ในกลุ่มโรงแรมในภาคเหนือ อย่างจังหวัดน่าน และพะเยา ที่ปัจจุบันจ่ายค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 160 บาท รวมถึงโรงแรมในกรุงเทพฯ ก็จะได้รับผลกระทบ เพราะค่าแรงอยู่ที่ร้อยละ 20-30 ทั้งนี้ โรงแรมที่มีผลประกอบการต่ำ อาจตัดสินใจปิดกิจการ หรือขายธุรกิจ ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการโรงแรมจำนวนราว 3,000-4,000 แห่ง ทั่วประเทศ ขณะที่แรงงานโดยรวมของอุตสาหกรรมโรงแรมทั้งระบบมีประมาณกว่า 500,000 คน

ส่วนข้อสรุปเซอร์วิสชาร์จ นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่ากระทรวงแรงงานได้สรุปความชัดเจน เรื่องการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำแล้วซึ่งมี 2 วิธีที่โรงแรมเลือกบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานคือ การแยกเซอร์วิสชาร์จ ไม่นำไปเสียภาษี ก็จะไม่สามารถนำไปคำนวณเป็นค่าแรงขั้นต่ำได้ หรือการนำเซอร์วิสชาร์จเข้ามารวมเป็นรายได้ มีการกำหนดอัตราที่แน่นอน เช่นรับประกันเดือนละ 3,000 บาท และนำไปเสียภาษี วิธีนี้จะสามารถนำไปคำนวณรวมเป็นค่าแรงขั้นต่ำได้