3/11/2555

ทางรอด - ทางรวย ของธุรกิจ ร้านเสริมสวย

| 4 ความคิดเห็น
การทำธุรกิจ ร้านเสริมสวย เป็นอีกหนึ่งช่องทางธุรกิจแบบอาชีพอิสระ ที่ช่วยให้คนไทยทุกฐานะอาชีพมีสิทธิเลือกที่จะเป็น...ตัวของตัวเอง

แต่ภายใต้ความมีอิสระ มีทางเลือกของตัวเอง ก็ยังคงต้องใช้ความพยายามและหาแนวทางในการทำธุรกิจ เสริมสวย ให้ประสบความสำเร็จ เพราะ ร้านเสริมสวย ก็เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงพอสมควรทีเดียว

ในปัจจุบันนี้ มี ร้านเสริมสวย เกิดขึ้นจำนวนมาก ตามสัดส่วนของผู้ที่เข้ามา อบรมเรียนเสริมสวย ปีหนึ่งจำนวนนับหมื่นคน และมีแนวโน้มที่จะมีผู้เข้ามาเรียน อาชีพเสริมสวย เพิ่มขึ้นทุกปี

เนื่องจากเป็น ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีการลงทุนด้วยจำนวนเงินไม่ค่อยสูงมากนัก เป็นธุรกิจเงินสด มีรายได้ทุกวัน ต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นการขายฝีมือ มากกว่าการลงทุนด้านวัตถุดิบ ซึ่งต่างจากอาชีพอื่นที่ต้นทุนมักมาจาก วัตถุดิบมากกว่า การใช้ฝีมือ

เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ร้านเสริมสวย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ บางรายเปิดไม่นานก็สามารถตั้งตัว และยึดเอาเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี สามารถให้คนในครอบครัวมาประกอบอาชีพช่วยเหลือกันในการทำธุรกิจได้

แต่บางรายก็ประสบความล้มเหลวตั้งแต่เริ่มเปิดร้านได้ไม่นาน จนสุดท้ายต้องเลิกกิจการ เซ้ง หรือขายร้านให้คนอื่นต่อไป

หากจะย้อนให้ดูถึงปัญหาของธุรกิจเสริมสวย ที่ผู้ไม่ประสบความสำเร็จเจอ เกือบทั้งหมด มักเกิดจากผู้ทำธุรกิจเสริมสวยส่วนใหญ่ มักจะยึดติดความคิดในรูปแบบที่เรียกว่า "Me Too"

แปลเป็นไทยง่ายๆก็คือ ใครทำอะไรดี ฉันเอาด้วย...!!

คนส่วนใหญ่เหล่านี้มักคิดแต่ว่า  คนอื่นขายอะไรดี ทำอะไรดี ก็ทำออกมาขายบ้าง เอาอย่างเขาบ้าง

แม้แนวความคิด Me Too จะดี เป็นรูปแบบเริ่มต้นของการค้าขายก็จริง แต่ส่วนมากก็มักพิสูจน์ให้เห็นบ่อยครั้งว่า การทำอะไรตามอย่างคนอื่น ก็มักจะล้มเหลว สู้คนอื่นไม่ได้ โอกาสรอดทางธุรกิจมีน้อย โอกาสล้มเหลวมีสูง เพราะคนที่เก่งจริงๆเท่านั้นที่จะรอด

หรือไม่ก็เป็นคนที่ คิดอะไรต่างจากคนอื่น แม้ทำธุรกิจเดียวกัน แต่ทำไม่เหมือนกัน มีจุดขายที่แตกต่างก็สามารถเอาชนะอุปสรรคจนประสบความสำเร็จก็มีให้เห็นมากมาย

ยกตัวอย่างง่าย ใครที่เคยเดินทางไปเที่ยวแถวเพชรบุรี ชะอำ สินค้าขึ้นชื่อของเพชรบุรีก็คือ ขนมหม้อแกง ของฝากเมืองเพชร ที่เมื่อก่อนมีอยู่เพียงไม่กี่ราย ขายกันจนร่ำรวยไป จนกระทั่งรายใหม่มองเห็นรายเก่ามีรายได้ดี ขายดี ก็ใช้รูปแบบMe Too

ไม่คิดอะไรมาก ทำขนมหม้อแกงออกมาขายแข่งกัน จนถึงวันนี้เราแทบไม่รู้แล้วว่า ใครคือตัวจริงเจ้าเก่าตัวปลอมเจ้าใหม่ กันแน่

แม้ความคิดแบบ Me Too จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รู้จักเริ่มต้นการค้าขาย แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว่า ผู้ทำธุรกิจจะจะเติบโตได้อย่างแท้จริง ต้องเปลี่ยนจากการเดินตามคนอื่น มาเป็นการพัฒนาความคิด ความสามารถ

แล้วปรับเปลี่ยนมุมมองจาก "นักขาย" ไปเป็น " นักธุรกิจ".... 

การทำธูรกิจเสริมสวยก็เช่นกัน ต้องปรับเปลี่ยนความคิดจาก "ช่างเสริมสวย" ไปเป็น "แฮร์ดีไซเนอร์" หรือ "นักออกแบบทรงผม" "ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม"

ความแตกต่างระหว่าง "นักขาย" กับ "นักธุรกิจ" ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยน "วิธีคิด" ด้วยการเพิ่มหลักความคิดทางการตลาดเข้ามาเสริม

หลักการตลาดยอดนิยมที่ถูกวางมาเป็นสูตรเข้าใจง่ายๆเลยก็คือ หลักการตลาด แบบ 4P และ 4C

โดย หลักการตลาด เดิมเริ่มแรกเลยคือ 4P อันได้แก่

1.Product กลยุทธ์ด้าน ผลิตภัณฑ์ หรือ ตัวสินค้า
2.Price กลยุทธ์ด้าน ราคา
3.Place กลยุทธ์ด้าน การเลือกกลุ่มเป้าหมาย หรือ ลูกค้า
4.Promotion กลยุทธ์ด้าน การกระตุ้นการซื้อของ ลูกค้า


ปัจจุบันนี้การแข่งขันมีสูง หลักการตลาด 4P ไม่เพียงพอต่อการแข่งขันให้ประสบความสำเร็จอีกต่อไป จึงต้องเพิ่ม หลักการตลาด แบบ 4C เข้ามาอีก นั่นคือ

1.Consumer ต้องมองว่า ผู้บริโภคหรือ ลูกค้า ต้องการอะไร เพื่อจะได้นำสิ่งนั้นมาขายแก่ลูกค้า  ซึ่งมากกว่าแค่ขายของที่เรามีอยู่
2.Cost กลยุทธ์ด้านการจัดการบริหารต้นทุน ให้ดีที่สุด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนต่ำสามารถทำราคาให้ถูก กำไรสูงขึ้น
3.Convenience กลยุทธ์ด้านการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า
4.Communication กลยุทธ์ด้านการสื่อสาร การนำเสนอข้อมูลของธุรกิจสู่ลูกค้า ให้เข้าใจง่ายสร้างความน่าสนใจด้วยสื่อนั่นเอง


เอาละ...ผมกล่าวถึงเรื่องนี้ในเชิงวิชาการมามากพอแล้ว ตอนนี้มาพูดกันแบบชาวบ้านสู่ชาวบ้าน เว้ากันซื่อๆ พูดกันง่ายๆ เข้าใจแบบคนทั่วไปว่ากันดีกว่า

ธุรกิจร้านเสริมสวย นั้น ส่วนใหญ่มักยึดติดกับหลัก Me Too  ซึ่งต่อไปผมจะเรียก การเอาอย่าง ทำตามคนอื่น ก็แล้วกัน กล่าวคือ พอเห็น ร้านเสริมสวย เจ้าหนึ่งเปิดขึ้นมา มีลูกค้าเข้าร้านมาก ก็อยากเปิด ร้านเสริมสวย กับเขาด้วย เพราะคิดว่าทำง่าย ลงทุนน้อย

แถมเปิดแล้ว ยังไปเปิดติดกันหรือใกล้กับเจ้าเดิมอีกด้วย เรียกว่า ลูกค้าก็ไม่คิดหา หวังแบ่งลูกค้าเขามาเลย ว่างั้นเหอะ  ความคิดแบบเดินตามคนอื่น โดยไม่คิดพัฒนาความสามารถใช้หลักการตลาดที่ดีมาช่วย

บอกตรงๆอยู่ได้ไม่นานก็เจ๊ง หรือไม่ก็ทำกำไรจากธุรกิจนี้ไม่ได้ อย่างเก่งก็แค่เสมอตัว หาเงินเลี้ยงลูกน้องเท่านั้น

ในการปรับเปลี่ยนวิธีคิด จาก "ช่างเสริมสวย" มาเป็น "ผู้บริหารธูกิจเสริมสวย" หรือ "ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม"นับว่าจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น โอกาสอยู่รอดใน ธุรกิจร้านเสริมสวย ก็มีมากขึ้นด้วย เริ่มจาก...

1.วางแผนด้านตัวสินค้า ร้านเราขายอะไร ขายบริการเป็นช่างตัดผม ขายสินค้าด้านความงามเกี่ยวกับเส้นผม ใช่หรือไม่...? ตัวสินค้าของเราคืองานบริการ ดังนั้น ชื่อร้านน่าสนใจมั้ย

แทนที่จะชื่อ "บุญมีเสริมสวย" ลองใช้ชื่อที่ติดหู ติดปากลูกค้าขึ้นมาหน่อย เช่น ร้าน 24 Hair salon เป็นการสร้างจุดขายของร้านว่าทำอะไร ขายอะไร ขายแบบไหน

สินค้าคือ ช่างเสริมสวย ที่เปิดบริการให้คุณตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยบริการที่คุ้มค่า คุ้มราคา ฝีมือดี บริการลูกค้าได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะ ดีด ทำสี ยืด ตัดผมชาย ตัดผมหญิง เป็นต้น

รวมถึง การตกแต่งร้าน ให้ดูสวยงาม เหมาะสม มีจุดเด่น เห็นง่าย น่าเข้าไปใช้บริการ หาจุดเด่นของเราให้เจอ จนลูกค้าเห็น แล้วสนใจ เช่นบางร้านตกแต่งร้านแบบ ร้านเสริมสวย ย่านสยามแสควร์ แล้วติดป้ายบอกเลยว่า ร้านนี้ ตัดผมวัยรุ่นสไตล์เกาหลี ญี่ปุ่น เพื่อดึงลูกค้าระดับวับรุ่นเข้าร้าน ส่วนลูกค้าวัยอื่น หากสนใจเข้ามาใช้บริการถือเป็นกำไร

ร้านอื่นเก่ง ทำสี เราก็ขายจุดเด่นเราเก่ง ยืดผม ร้านอื่นเก่ง ตัดผม ด้วยกรรไกร เราก็เด่นด้านการ ตัดผม สวยด้วย มีดโกน ร้านอื่นเขาเด่นที่ราคาถูกลูกค้าเป็นนักศึกษาเงินน้อย เราก็เด่นที่ลูกค้าเป็นระดับอื่นวัยทำงานหรือวัยกลางคนแทน ด้วยราคาที่เท่ากันหรือสูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากลูกค้าเรามีกำลังซื้อสูงกว่านักศึกษา เป็นต้น

2.วางแผนตัวสินค้า คือ ร้านเราไปแล้ว ก็ต้องมาวางแผนด้านราคา กลยุทธ์ ตัดผม บริการ เสริมสวย ราคารถูกไม่ใช่ข้อได้เปรียบเสมอไป ราคาบริการถูกอาจเป็นแค่การดึงดูดจุดสนใจของร้านแก่ลูกค้า แต่ในความเป็นจริงเราต้องคิดอยู่เสมอว่า ทัศนคติของลูกค้าก็มักคิดเสมอว่า "ของดีไม่ถูก ของถูกไม่ดี" หากเลือกได้ลูกค้าย่อมเลือกของดี มากกว่าของถูกแน่นอน อยู่ที่คุณผู้เป็นเจ้าของร้านจะต้องแสดงออกให้ลูกค้าเห็นได้ชัดว่า ร้านเราเป็นของดี ราคาสูงกว่าร้านข้างๆนิดหน่อย แต่ฝีมือและบริการเราดีกว่า

แต่ว่าบอกไปแบบนี้ เดี๋ยวมีบางคนบอกมาว่า ร้านข้างๆราคาถูกกว่าลูกค้ายังเยอะกว่าอยู่ดี ร้านหนูราคาสูงนั่งตบยุงทุกวัน พอไปดูร้านเข้าจริงๆ ก็สมควรนั่งตบยุง เพราะร้านของหนูตกแต่งสภาพแย่กว่าร้านราคาถูกอีก แถมตั้งราคาเสียสูง ไม่เจ๊งไปเลยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ดังนั้นราคาย่อมอยู่ที่การลงทุนด้วยนะจ๊ะหนู...สภาพร้านโทรมๆไปหวังตั้งราคาสูงลูกค้าที่ไหนจะเข้าร้านล่ะทูนหัว ถึงแม้ร้านเราจะเป็นห้องแถวเหมือนคู่แข่ง แต่หากตกแต่งร้านดีสวย น่าเข้าไปใช้บริการ ฝีมือดี บริการถูกใจ ราคาไม่ใช่เรื่องสำคัญแน่นอน

3.จงวางแผนเรื่องทำเล ที่ตั้งร้านเสริมสวย ให้ละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่นึกอยากจะเปิดร้านเสริมสวย เห็นตึกเช่าราคาถูก รีบคว้าหมับจองจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน แต่ตึกเพิ่งสร้างใหม่อยู่ในซอยเปลี่ยว มีบ้านคนอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน

หรือเช่าชั้นล่างอพาร์ทเมนท์ สร้างใหม่อยู่ลึกมีลูกค้าแค่บนตึกหวังลูกค้าในตึกมาใช้บริการปรากฏลูกค้าเป็นพวกทำงานออกเช้ากลับดึก ตบยุงอีกแล้วครับท่าน เพราะวางแผนทำเลที่ตั้ง เลือกกลุ่มเป้าหมาย หรือเลือกกลุ่มลูกค้าผิดนั่นเอง...

การทำ ร้านเสริมสวย ไม่ใช่แค่คิดจะขายที่ไหน แต่ยังต้องคิดว่าจะขายใคร ขายแบบไหน ทำอย่างไรให้ร้านเราอยู่ใกล้ลูกค้าจริงๆ (ลูกค้าที่ต้องการตัดผม) ทำเลต้องสะดุดตา ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็น ร้านตกแต่งดี บ่งบอกการบริการมีอะไรบ้างชัดเจน ร้านสะอาด สวยงาม น่าใช้บริการแบบนี้เป็นต้น

4.เอ้า...ลองทำตามแผนมาทุกอย่างแล้ว ทั้ง 3 ข้อ สุดท้ายของหลักการตลาดชุดแรก คือ โปรโมชั่น ซึ่งไม่ใช่แค่สื่อให้กลุ่มลูกค้ารู้จักร้านเราเท่านั้น  แต่ต้องกระตุ้นให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการที่ร้านเสริมสวยของเราด้วย การโปรโมชั่น สร้างจุดขาย ลดแหลก แจกแถม ต้องมีการวางแผนกันล่วงหน้า รู้จุดต้นทุน รู้จุดกำไร บริหารการเงินระยะยาว มีสายป่านพอสู้กับธุรกิจนานๆ

การโปรโมชั่น คือ การกระตุ้นให้ลูกค้าเข้าร้านได้ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเร็วที่สุด เช่น ช่วงเปิดร้านใหม่ ตัดผม 1 คน ฟรี 1 คน (การตัดผมฟรีเป็นการลงทุนน้อยที่สุด เพราะใช้ฝีมือหรือแรงงาน ความสามารถของเราเอง แต่หากใช้ลูกน้องตัดต้องมีต้นทุนค่าแรงลูกน้องรวมอยู่ด้วย)

หรือช่วงเทศกาลเข้าพรรษาลูกค้าน้อย จัดโปรโมชั่น ทำสีผม ดัดผม ยืดผม แถมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมฟรี หรืออบไอน้ำฟรี ทรีทเมนต์ฟรี เป็นต้น (พยายามเลือกโปรโมชั่นที่ลูกค้าต้องการ หรืออยากทำมาก เอาไว้)

หรือ เจ้าของร้านเสริมสวย เป็นคนชอบเที่ยวต่างประเทศ ไปเจอของแปลกๆ ที่เมืองไทยไม่มี น่าใช้ราคาถูก ซื้อติดมือกลับมาทำเป็นของโปรโมชั่นก็น่าสนใจ เรียกลูกค้าที่เห่อของใหม่ ของแปลก ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยไม่ต้องไปลดราคาอย่างเดียว เดี๋ยวจะแข่งกันเจ๊งหมด

นี่เป็นจุดแรกของการรู้จักปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีการคิด เพื่อดำเนิน ธุรกิจเสริมสวย ในยุคใหม่ การแข่งขันมีสูง การลงทุนก็สูงขึ้น ผิดจากอดีตที่ขายฝีมือ ลงแรงอย่างเดียวก็อยู่ได้ ปัจจุบันไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงลูกน้อง ไม่ใช่ถูกๆ สินค้าที่ใช้ในร้านแต่ละตัว ยิ่งใช้ของดี ราคารต้นทุนยิ่งแพง ซึ่งหลักการตลาดแบบ 4P นี้ยังเป็นมุมมองแบบ "นักขาย" อยู่

หากอยากพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปอีกระดับ เพิ่มขีดความสามารถใน การบริหารร้านเสริมสวย ให้ดียิ่งขึ้น ท่านต้องเอาหลักการบริหารแบบ "นักธุรกิจ"  4C เข้ามาประยุกต์ในการทำงานเพิ่มขึ้น นั่นคือ

1.เริ่มจาก Consumer คือกลุ่มลูกค้า ไม่ใช่แค่มองดูว่า เปิดร้านตรงนี้ มีลูกค้าแน่นอน แต่ต้องมองให้ลึกลงไปเลยว่า กลุ่มลูกค้าของร้านท่าน คือใคร เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย และ ลูกค้ากลุ่มที่คุณหวังให้เข้ามาใช้บริการในร้านน่ะ...ต้องการอะไร ?

เพื่อที่จะได้นำสินค้าที่ลูกค้าต้องการมาขาย ซึ่งมากกว่าการขายของที่เรามีมาขายเพียงอย่างเดียว เช่น เราเปิด ร้านเสริมสวย สำหรับวัยรุ่น ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่การตัดผมทรงมาตรฐาน แต่ต้องการ ช่างทำผม ที่ ตัดผม ทรงสมัยนิยม ทำสียอดฮิต ทำผมแนวดาราได้ สินค้าที่ใช้ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามกลุ่มลูกค้า

เช่น อุปกรณ์ในการตัดต้องดูน่าตื่นตา ตื่นใจ กรรไกรยาว 7 นิ้ว ทรงโค้ง ท่าตัดของ ช่างเสริมสวย ต้องดูหวือหวา แต่งตัวตามสมัยนิยม ไม่ใช่ลูกค้าเป็นวัยรุ่น แต่ช่างแต่งตัวเชยๆ ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเข้ามาให้ตัด เซ็ตติ้ง พวก โฟม มูส เจล ต้องดูมีสีสัน ทันสมัย หยิบจับออกมาใช้ต้องมีมาด ลูกค้ามองด้วยความทึ่ง

เปิดเพลงในร้าน ให้ถูกใจลูกค้า ไม่ใช่ถูกใจ ช่างตดผม ลูกค้าฟัง โฟร์-มด , แกลอรี่ บลา บลา แต่ในร้านช่างชอบฟัง จินตหรา เพลงลูกกรุง ขืนเปิดตามใจช่าง ตามใจเจ้าของร้าน...ก็จบกัน แมวที่ไหนจะเข้าร้านนอกจากคนคอเดียวกันจริงมั้ย ของเล็กๆน้อยพวกนี้ต้องไม่มองข้าม พยายามเอามาเป็นข้อมูลเพื่อศึกษาความต้องการของลูกค้าให้ดี

2.จบจากเอาใจลูกค้า ดูความต้องการของลูกค้าให้ได้แล้ว ก็มาดูที่เรื่องของต้นทุน Cost ซึ่งหมายถึงวิธีการบริหารต้นทุนการผลิตทั้งหมด ให้ต่ำหรือดีที่สุด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเชิงลึก การเลือกใช้สินค้า ค่าแรง เงินเดือน ค่าเช่า ผลกำไร เวลาในการทำงานแต่ละงาน ความสิ้นเปลืองต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ล้วนเป็นต้นทุนผันแปรทั้งสิ้น

ต้นทุนแรกสินค้า อุปกรณ์ที่ใช้ในร้าน หากซื้อมาในราคาไม่แพงย่อมทำให้ต้นทุนเราต่ำ กำไรสูง การคำนวนจำนวนสินค้าที่จะใช้ในแต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน หากซื้อทีละชิ้นราคาสูง แต่ถ้าเดือนหนึ่งใช้แน่นอนประมาณ 2 โหล ซื้อเป็นโหลถูกกว่า 15-20% ยังไงทุกเดือนต้องใช้หมดแน่นอน แบบนี้ซื้อเหมาโหลย่อมได้ต้นทุนต่ำกว่า แต่อย่าไปเผลอซื้อมาโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้หมดนะ แบบนั้นมีแต่เจ๊งเพราะซื้อไม่เป็น ใช้ไม่คุ้ม ต้นทุนบานปลายหมด

เงินเดือนลูกน้อง เปอร์เซนต์ที่จะแบ่ง บางรายรับลูกน้องเข้ามา ด้วยความอยากได้ช่างคนนี้มาก เรียกค่าตัวแพงแค่ไหนก็เอา แต่ปรากฏรายได้ หรือลูกค้าไม่มากพอ เก่งแค่ไหนก็ไม่คุ้มเพราะ ทว่าเราก็ต้องเลือกช่าง และเงินเดือน ให้เหมาะสม เราอยู่ได้ ช่างที่เป็นลูกน้องอยู่ได้ ลูกค้าก็ชอบช่าง และฝีมือ ราคาค่าบริการของเรา ทุกอย่างก็แฮปปี้

อีกจุดที่ช่วยให้เรา บริหารต้นทุน ได้ดี ก็คือเรื่องเวลา ลูกค้าหนึ่งคน ควรวางแผนการทำงานให้เหมาะสม ว่าตั้งแต่เข้าร้านมาควรใช้เวลาบริการลูกค้าคนนี้กี่นาที หากมีลูกค้าเข้ามาเยอะๆ จะจัดระเบียบการให้บริการแบบไหน โดยลูกค้าไม่ต้องรอนาน จนเบื่อรำคาญเดินหนีออกจากร้านไม่กลับมาอีกเลย

มีบางร้านทำงานละเอียดมาก ฝีมือดี บริการเยี่ยม แต่ใช้เวลานานมากๆๆๆ กว่าจะเสร็จหัวหนึ่งเป็นชั่วโมง ร้านแบบนี้ลูกค้ามักจะมองเข้ามาในร้านก่อนหากมีคนใช้บริการอยู่จะไม่กล้าเข้าร้านเรา เพราะไม่อยากรอ ดังนั้นเราต้อง บริหารเวลาให้ดี ลูกค้าเข้าร้าน เชิญไปสระผมเลยดีมั้ย แบ่งช่างทำงานให้ดี สระผมลูกค้าลวกๆไม่ถึง 5 นาทีเสร็จ ลูกค้าก็มาใช้บริการครั้งเดียว เพราะเสียตังค์ไม่คุ้ม แต่หากสระนานเกินไป ไหนจะเปลืองค่าน้ำ เปลืองค่าไฟ ค่าแอร์ แถมเปลืองเงินเดือนลูกน้อง ทำงานไม่กี่หัวหมดเวลาไปวันหนึ่งแล้ว แบบนี้ไม่คุ้ม ต้องกำหนดเวลาในการทำงานให้ดี เหมาะกับเรา และเหมาะกับลูกค้าด้วย

ทั้งหมดนี้ยังรวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆด้วย ไม่ว่า แชมพู ครีมนวดผม สีย้อมผม น้ำยายืด น้ำยาดัด เจล โฟม มูส สเปรย์ อุปกรณ์ต่างๆ ที่สิ้นเปลืองได้ ต้องรู้จักใช้ให้คุ้มค่า และคุ้มกับลูกค้าที่เสียเงินให้แก่เราด้วย

3.ข้อต่อไปสืบเนื่องมาจากข้อที่แล้ว คือ Convenience หรือ บริการ หรือสินค้าที่ให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า เรียกว่าเป็นการสนองตอบ ต่อความต้องการของลูกค้า เท่าที่เราจะทำให้แก่ลูกค้าได้ ยกตัวอย่าง เจ้าของร้านเสริมสวยรายหนึ่ง เปิดให้บริการแก่ลูกค้าเป็นพิเศษ ด้วยการให้ช่างเดินทางไปทำผม เสริมสวยให้ลูกค้าถึงบ้าน โดยคิดค่าบริการเพิ่มเล็กน้อย แต่ได้ลูกค้าแบบนี้เพิ่มขึ้นมามากมาย สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ไหนจะค่าบริการ ไหนจะค่าทิป จนเปิดสายออนไลน์ให้ลูกค้าโทรตามได้ตลอด 24 ชม.

ลูกค้าของเราส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด ต้องการความสะดวกสบาย สะดวกซื้อ สะดวกใช้ สะดวกมาใช้บริการ และสามารถเลือกใช้บริการกับเราได้ง่าย เกือบทั้งหมด อยาก ทำสีผม ก็ได้ ยืดผม ก็ได้ ดัดผม ก็ไม่เกี่ยง นวดหน้า อบไอน้ำ ทำเล็บ แต่งหน้า เกล้าผม อยากได้อะไรมีหมด แถมยังมีสินค้าหายากแบบที่ลูกค้าต้องการโดยไม่ต้องถ่อไปซื้อที่ห้างฯ หรือเดินทางไปซื้อถึงต่างประเทศได้ยิ่งดี ร้านเรามีบริการให้หมด แบบนี้โอกาสประสบความสำเร็จของร้านเรามีสูง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ รวยกันมาเยอะแล้ว

4.ข้อสุดท้าย ร้านเราดี สวย สะอาด บริการเด่น ราคาไม่แพง ช่างพูดเก่ง เอาใจเก่ง มีสินค้าให้บริการครบวงจร มีโปรโมชั่นดีๆมาเสนออยู่เป็นประจำ แต่หากเราไม่สามารถนำสิ่งดีเหล่านี้ออกไปบอกให้ลูกค้ารู้จักเราได้ ทั้งหมดที่กล่าวมาย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย ดังนั้น หลักการ Communication  หรือ การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สื่อให้ลูกค้ารู้จักเราเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับการทำธุรกิจเสริมสวยในยุคปัจจุบันมาก

หากคุณต้องการลูกค้าแค่แถบทำเลในย่าน ร้านเสริมสวย ของเรา คุณก็ต้องทำการสื่อสารให้ลูกค้า รู้จักเรา เห็นร้านเรา หรือรู้จักบริการ รู้จักสินค้า รู้จักโปรโมชั่นของร้านเราให้มากที่สุด ไวที่สุดด้วย  การติดป้ายหน้าร้าน การแจกใบปลิว การส่งจดหมาย การมีเวบไซต์ การมีอีเมล์แจ้งข่าวแก่ลูกค้า ทำกิจกรรมหน้าร้านดึงดูดความสนใจของลูกค้า

การออกทีวี ออกวิทยุ ลงนิตยสาร ลงเวบไซต์ (หากลูกค้าเป็นวัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ คนวัยทำงาน จะได้ผลดีมาก) ล้วนจำเป็นต้องทำทั้งสิ้น  การแสวงหาทุกช่องทางที่ประหยัด และมีประโยชน์กับตัวเองย่อมได้ผลดี รู้จักการให้ข่าว กับสื่อต่างๆ ที่มีอยู่มากมายหลายช่องทาง

เพราะบางคนทิ้งโอกาสดีๆเหล่านั้นไป ไม่ได้สร้างจุดเด่นของสินค้า ไม่ได้สร้างจุดเด่นของร้านให้เป็นที่รู้จัก หรือนำเสนอสินค้า นำเสนอร้านเราให้ลูกค้า และผู้บริโภคได้รู้จัก ได้เข้าใจในตัวสินค้าของเราขณะที่ ร้านเสริมสวย อื่นนำเสนอขายสินค้าของร้านได้ดีกว่าร้านเรา เขาย่อมประสบความสำเร็จสูงกว่าร้านเราแน่นอน

สุดท้าย สำหรับผู้ที่คิดก้าวเข้ามาทำ ธุรกิจเสริมสวย ใหม่ๆ และผู้ที่ทำธุรกิจ เสริมสวย แบบไม่เคยใช้ หลักการตลาดมาก่อน ลองเอาข้อคิดเหล่านี้ไปทดลองใช้กันดู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนจะต้องคุ้มค่า อย่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ต้องรู้จนลึกแล้วว่าจ่ายไปเท่านี้ได้ผลตอบแทนกลับมาแค่ไหน ลงทุนไปแล้วโอกาสคุ้มทุนมากน้อยอย่างไร

เราต้องปรับวิธีคิด คิดให้ตัวเองเป็น "นักธุรกิจ" รู้จักวางแผน บริหารงานก่อนทำ ไม่ใช่แค่นักขาย ที่มีสินค้าอะไรมาก็ขายอย่างเดียว สมรภูมิทางการค้า ด้าน ธุรกิจเสริมสวย ยังคงเปิดรับผู้ที่พร้อมเสมอ....

ทางรอด...ทางรวย...อยู่ที่ตัวท่าน ไม่ใช่คนอื่น

โดย สุรศักดิ์ นัยสุดใจ

ขอบคุณแหล่งที่มา :  www.hifulla.com
รูปจาก : www.redkensaloon.com 

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ27 สิงหาคม 2556 เวลา 08:09

    เป็นประโยชน์อย่างมาก ขอบคุณมากนะคะ

    ตอบลบ
  2. ต้องการ​ทำ​กิจการ​เสริมสวย​ รถบริการเคลื่อนที่​ โดย​ตกแต่ง​ภายในรถ​ให้เป็นร้านเสริมสวย​ จะดีมั้ย​

    ตอบลบ
  3. แจ่มครับ ใช้สูตรนี้เลย สาขา2 กำลังจะมา...

    ตอบลบ
  4. ตอนนี้เรียนอยู่ค่ะ จะเก็บไว้ทำตามค่ะ
    น่อน

    ตอบลบ